SCOPE สร้างปรากฏการณ์อสังหาริมทรัพย์ ฉีกแบบแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัย ตอกย้ำ “ไลฟ์สไตล์แบรนด์” พร้อมปักธง 4 โครงการใจกลางเมือง
“สโคป” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของโครงการสุดหรูแบรนด์ SCOPE เดินหน้าสู่ “ไลฟ์สไตล์ แบรนด์” เจาะกลุ่มลูกค้า International Premium ด้วยคุณภาพ-ความแตกต่าง ฉีกแบบแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยแบบเดิม ปักธง 4 โครงการสุดหรู ใจกลางเมือง รวมมูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท เตรียมเผยโฉม 2 โครงการแรก SCOPE Langsuan – SCOPE Promsri แล้วเสร็จไตรมาส 3 ปี 2565 เชื่อสร้างจุดเปลี่ยนวงการอสังหาริมทรัพย์
นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด เปิดเผยว่า จากการเปิดตัว บริษัท สโคป จำกัด เมื่อปี 2562 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ฉีกแบบแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบเดิม โดยมุ่งเน้นเรื่องการออกแบบและก่อสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพพรีเมียมมาตรฐานระดับโลก โดยมีเป้าหมายต้องการปั้นบริษัทสโคป เป็น Lifestyle Company ที่พัฒนาโครงการที่ ตอกย้ำความเป็น “อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมียม” ของบริษัท เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่เป็น “อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมียม” เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เห็นโลกมามากมีความชอบและรสนิยมที่ไม่ได้จํากัดเฉพาะในกระแสหลักในประเทศ โดยเน้นนำเสนอเรื่องคุณภาพ และความแตกต่าง ให้กับตลาด
“เราต้องการสร้าง SCOPE ให้เป็นไลฟ์สไตล์ แบรนด์ ที่มากกว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ โดยคํานึงถึงการใช้ชีวิตและบริการที่ตอบความต้องการมากกว่าการสร้าง space ให้คนมาอยู่อาศัย แต่เป็นการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัย ซึ่งสิ่งนี้จะชัดเจนขึ้นในปี 2565 เมื่อ 2 โครงการแรกของบริษัททั้ง SCOPE Langsuan และ SCOPE Promsri แล้วเสร็จ โดยจะเริ่มมีลูกบ้านย้ายเข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ SCOPE Experience อย่างแท้จริง” นายยงยุทธ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทสโคป มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทั้งสิ้น 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท โดยมีการเปิดขายแล้ว 2 โครงการคือ SCOPE Langsuan มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2565 และ SCOPE Promsri มูลค่า 1,350 ล้านบาท แล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2565 เช่นเดียวกัน และตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้จากการโอนทั้งหมดกว่า 5,000 ล้านบาท
หลังจากนี้ มีแผนเปิดตัวอีก 2 โครงการ คือโครงการบนถนนสุขุมวิทติดกับรถสถานีไฟฟ้าทองหล่อ มูลค่า 2,500 ล้านบาท ในปี 2565 จะเป็นโครงการที่มีมูลค่าเฉลี่ยต่อยูนิตกว่า 140 ล้านบาท และมีเพียง 20 ยูนิตเท่านั้น โดยออกแบบภายในรวมถึงให้คําปรึกษาการออกแบบทั้งหมด โดยโทมัส ยูล-ฮันเซน ดีไซเนอร์ผู้ออกแบบอาคารระดับโลกมาแล้วทั่วโลก โดยตั้งเป้ายอดพรีเซลของปี 2565 จากทั้ง 3 โครงการกว่า 4,500 ล้านบาท ส่วนอีกโครงการจะเปิดตัวในปี 2566 ในทำเลสุขุมวิท 23 มูลค่า 2,200 ล้านบาท
นายยงยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับไฮไลท์ของบริษัทในปี 2565 ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ การเปิดตัว The Langsuan Clubhouse ที่โครงการ SCOPE Langsuan ซึ่งจะเป็น Private Residential Clubhouse ที่มีขนาดกว่า 2,500 ตารางเมตร ที่ออกแบบโดย “โทมัส ยูล-ฮันเซน” เฉพาะเฟอร์นิเจอร์มีมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์ขนาด 25 ที่นั่งที่มาพร้อมระบบเสียงระดับสุดยอดที่สุดและ The Langsuan Lounge ที่ตั้งใจจะให้เป็น Rooftop Terrace เหนือกว่า โรงแรม 6 ดาว ฯลฯ
อีกไฮไลท์สำคัญคือ โครงการ SCOPE Promsri คอนโดมิเนียม 8 ชั้น ที่วางเป้าหมายให้เป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดในประเทศไทยทั้งด้านคุณภาพ และการออกแบบ โดยถือเป็นโครงการแรกในเอเชียที่ collaborate กับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลก Ligne Roset ซึ่งออกแบบและผลิตพิเศษในประเทศฝรั่งเศสเพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะ
นายยงยุทธ กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า เราโดนเรื่องการก่อสร้างที่ช้าลง แต่เรื่องยอดขายนั้นเราทำได้ดีเลยทีเดียว ผมมองว่าสินค้าที่เน้นเรื่องคุณภาพ และความแตกต่างอย่างโครงการ SCOPE Langsuan และ SCOPE Promsri ของเรา นั้นแทบไม่ได้รับผลกระทบเรื่องยอดขาย เพราะเป็นสินค้าคุณภาพสูง และผู้ซื้อของ SCOPE เป็น Real Demand คือซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงไม่ใช่ซื้อเพื่อเก็งกำไร และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อจริงๆ
“สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือการดูแลทุกคนให้ดี ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ลูกค้า พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ Supplier ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน เพราะผมเชื่อมั่นมาตลอดการทำธุรกิจที่ผ่านมาว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร สินค้าที่ขายได้เสมอคือสินค้าที่มีคุณภาพสูงและผลิตด้วยความตั้งใจ ดังนั้นจึงต้อง Balance ทุกอย่างให้ลงตัว เพื่อให้มีแรงขับเคลื่อนที่ดีในการสร้างผลงานที่มีคุณภาพ” นายยงยุทธ กล่าว
สำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการใหม่ๆ ของบริษัทในอนาคต บริษัทวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการในอนาคตจะยังคงเป็นโครงการในระดับ “อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมียม” ในทําเลที่เป็นที่ปรารถนาของลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทจะมีการเปิดตัวธุรกิจที่ดูแลบริหาร จัดการด้าน Hospitality ซึ่งเป็นมากกว่าการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น สะท้อนวิสัยทัศน์ของบริษัทซึ่งเป็น Lifestyle Company ที่ไม่ได้พัฒนาเพียงพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัย แต่พัฒนาประสบการณ์การใช้ชีวิต (Living Experience) ให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการด้วย