วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่ นวัตกรรมจากความร่วมมือไทย หนุนเศรษฐกิจสุขภาพ พร้อมลุยตลาดโลก

 วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่ นวัตกรรมจากความร่วมมือไทย หนุนเศรษฐกิจสุขภาพ พร้อมลุยตลาดโลก

วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่ นวัตกรรมจากความร่วมมือไทย หนุนเศรษฐกิจสุขภาพ พร้อมลุยตลาดโลก

กรุงเทพฯ – วันที่ 29 เมษายน 2568 ายวันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคุณวิฑูรย์ วงศ์หาญกุล ประธานกรรมการบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ร่วมกันแถลงข่าวความสำเร็จของการพัฒนาและวิจัยวัคซีนไอกรน (รุ่นใหม่) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับวัคซีนสำเร็จ พร้อมตั้งเป้าขยายการใช้งานทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ ณ ห้องประชุม 302 ชั้น 3 อาคารรัตนวิทยาพัฒน์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

งานแถลงข่าวยังมีการเสวนาโดยผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ศ.นพ.ธีรพงษ์ ตัณฑวิเชียร ศ.พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ และ รศ.นพ.สุรสิทธิ์ ชัยทองวงศ์วัฒนา เพื่อร่วมถ่ายทอดความสำเร็จในการร่วมมือพัฒนาวัคซีนสำหรับกลุ่มประชากรหลายช่วงวัย ทั้งวัยรุ่น ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคไอกรน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งในเด็กเล็กอาจมีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ ขณะที่วัยรุ่นและผู้ใหญ่มักมีอาการไอเรื้อรังหลายสัปดาห์ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคปอดเรื้อรัง อุบัติการณ์ของโรคเพิ่มขึ้นในกลุ่มวัยเรียนและวัยทำงาน เนื่องจากภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนในวัยเด็กลดลงตามเวลา

ในประเทศไทย วัคซีนไอกรนที่ใช้ในปัจจุบันมีทั้งวัคซีนรวม (Tdap) ที่นำเข้าจากต่างประเทศ และวัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์ที่ผลิตในประเทศ โดยไบโอเนท-เอเชีย ได้พัฒนาวัคซีนสูตรใหม่แบบลดขนาด (low-dose 2 microgram) ผ่านโครงการวิจัย PreBoost ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยในกลุ่มวัยรุ่น ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์

วัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์สูตรใหม่ พบว่าช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้สูงกว่า และคงอยู่ได้นานกว่าวัคซีนแบบรวม Tdap ที่ผลิตในยุโรปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อีกทั้งมีอัตราการเกิดผลข้างเคียงต่ำและความปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และทารกแรกเกิดเป็นที่น่าพอใจ

เป้าหมายของวัคซีนรุ่นใหม่นี้ คือการเสริมภูมิคุ้มกันในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ สตรีตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ทารกแรกเกิด ผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรัง รวมถึงวัยรุ่นและวัยเรียนที่เป็นแหล่งแพร่เชื้อสำคัญในชุมชน การขยายการใช้วัคซีนไอกรนในกลุ่มอายุ 11-12 ปี (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6) โดยเพิ่มวัคซีนไอกรนเข้าไปในโปรแกรมวัคซีนรวม (คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน) กำลังอยู่ในระหว่างการผลักดันตามแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติ

นายวันนี นนท์ศิริ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน เป็นหัวใจสำคัญที่ผลักดันให้โครงการวัคซีนไอกรนรุ่นใหม่นี้ประสบความสำเร็จ โดยถือเป็นต้นแบบของการพัฒนานวัตกรรมสุขภาพที่สามารถตอบสนองทั้งความต้องการภายในประเทศและขยายสู่ตลาดต่างประเทศได้ในอนาคต

คุณวิฑูรย์ วงศ์หาญกุล ประธานกรรมการบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด กล่าวว่า ความสำเร็จครั้งนี้ตอกย้ำความสามารถของไทยในการพัฒนาวัคซีนมาตรฐานสากล พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ในการส่งออกวัคซีนไปยังตลาดเอเชียและภูมิภาคอื่นในอนาคตอันใกล้

ความสำเร็จของวัคซีนไอกรนรุ่นใหม่จึงไม่เพียงแต่สะท้อนความก้าวหน้าทางการแพทย์ไทย แต่ยังช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) และขยายขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีโลกอย่างเป็นรูปธรรม

Share