Unlock Value! “ดุสิตธานี” เข้าโหมดเก็บเกี่ยวเต็มกำลัง โอนโครงการ 4 หมื่นล้านปลายปีนี้ หนุนรายได้แตะระดับสูงสุด สลัดภาระดอกเบี้ย – ดันธุรกิจโรงแรม-อาหาร-อสังหาฯ โตต่อเนื่อง สู่เป้าหมายรายได้ปี 68 โต 25%

“ดุสิตธานี” ประกาศความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์ 9 ปี ชูเฟสสุดท้าย ‘Unlock Value’ เป็นกลไกเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนต่อเนื่อง พร้อมตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจหลักปี 2568 โต 20-25% ดันธุรกิจโรงแรม อาหาร และการศึกษาเติบโตอย่างมั่นคง ขณะที่โครงการที่พักอาศัย ‘Dusit Residences’ และ ‘Dusit Parkside’ มียอดขายแล้วกว่า 90% เตรียมทยอยโอนปลายปีนี้ คาดรับรู้รายได้ราว 16,000 ล้านบาท หนุนสถานะการเงินลดภาระดอกเบี้ยจ่าย ด้านธุรกิจอาหารจ่อ IPO เมื่อถึงจังหวะเหมาะสม สร้างความยั่งยืนระยะยาว

กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เดินหน้าสู่ปีสุดท้ายของแผนกลยุทธ์ 9 ปี (2559–2568) ซึ่งถูกออกแบบเพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีระบบและยั่งยืน โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงสำคัญ ได้แก่ การสร้างรากฐาน (Build Foundation), การเร่งขยายตัว (Take Off) และการปลดล็อกมูลค่า (Unlock Value)

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม เปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มบริษัทอยู่ในช่วงท้ายของแผน Unlock Value ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บริษัทเตรียมเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรมระดับโลก ธุรกิจอาหารที่ขยายตัวทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ใจกลางเมือง

“เรามาถึงจุดที่การลงทุนเริ่มส่งผลตอบแทนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการ Dusit Central Park ซึ่งรวมทั้งที่พักอาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่จะเป็นแหล่งรายได้สำคัญในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และต่อเนื่องถึงปี 2569”

โครงการเรสซิเดนซ์หนุนรายได้ 16,000 ล้าน

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือ โครงการที่พักอาศัย Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูส “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มียอดขายรวมแล้วกว่า 90% คิดเป็นมูลค่าราว 16,000 ล้านบาท โดยบริษัทเตรียมทยอยโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป

การรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวไม่เพียงช่วยหนุนรายได้รวมของบริษัท แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการลดภาระต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะดอกเบี้ยจ่ายจากการกู้ยืมและการออกหุ้นกู้ที่ใช้รองรับสภาพคล่องในช่วงโควิด-19

ปี 2567 ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์

แม้ยังไม่สามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปีที่ผ่านมา แต่ DUSIT ทำรายได้รวมสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง คือ 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.8% จากปีก่อนหน้า โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ที่ 1,650 ล้านบาท เติบโต 91.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริษัทมีขาดทุนสุทธิ 237 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากภาระดอกเบี้ยจ่ายรวมกว่า 578 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงดอกเบี้ยหุ้นกู้ ดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืม และภาระจากมาตรฐานบัญชี TFRS 16 อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารยืนยันว่าภาระดังกล่าวจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญทันทีที่โครงการที่พักอาศัยเริ่มโอนกรรมสิทธิ์

ธุรกิจโรงแรม-อาหาร โตต่อเนื่อง

ด้านธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่ม ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคง โดยเฉพาะ “โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ” แห่งใหม่ ที่กลับมาเปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายน 2567 จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2568 เป็นครั้งแรก

ปัจจุบัน ดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารรวม 294 แห่ง ใน 18 ประเทศทั่วโลก จากเดิมที่มีเพียง 27 แห่งใน 8 ประเทศเมื่อเริ่มต้นแผนยุทธศาสตร์ ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด

ขณะที่ธุรกิจอาหารซึ่งดำเนินการโดย “ดุสิต ฟู้ดส์” มีรายได้ในปี 2567 รวม 1,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.6% โดยบริษัทได้ลงทุนในผู้ให้บริการอาหารทั้งในไทย เวียดนาม และจีน อาทิ Epicure Catering, The Caterers และ Bonjour Bakery ซึ่งมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

แผนปี 2568: ดันรายได้หลักโต 25%

สำหรับปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจหลัก (ไม่รวมรายได้พิเศษ) เติบโตประมาณ 20-25% โดยแบ่งเป็น:

• ธุรกิจโรงแรม: โต 20-25%

• ธุรกิจอาหาร: โต 10-15%

• ธุรกิจการศึกษา: โต 10-12%

• ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์: โตมากกว่า 100% (ไม่รวม Bare Shell)

ผู้บริหารเชื่อว่าด้วยการเติบโตแบบสมดุลทั้ง 4 แกนหลัก จะช่วยสร้างความยั่งยืนทางรายได้ และฟื้นกำไรสุทธิได้ภายในปี 2569